สรุปข้อความทราบจาก พ.ร.บ.ฯ
1.พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 มุ่งให้ประชาชนทุกคนทั่วประเทศที่ประสบอุบัติเหตุอันเกิดจากรถ ได้รับความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิตและร่างกาย โดยให้ได้รับค่ารักษาพยาบาลตามความเป็นจริงในกรณีบาดเจ็บ และ/หรือได้รับค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการจัดการศพในกรณีเสียชีวิต เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยและครอบครัว
2.ความคุ้มครองที่ผู้ประสบภัยทุกคนจะได้รับ คือ เมื่อประสบอุบัติเหตุจากรถ บริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู้ประสบภัยหรือทายาทตามจำนวนความรับผิดในกรมธรรม์ โดยค่าเสียหายนี้จะได้รับเป็น 2 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกเป็นค่าเสียหายเบื้องต้นที่ผู้ประสบภัยหรือทายาทจะได้รับภายใน 7 วันนับจากวันร้องขอต่อบริษัทประกันภัย โดยไม่ต้องรอการพิสูจน์ความถูกผิดเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องแรกและส่วนที่สองคือส่วนที่เกินกว่าค่าเสียหายเบื้องต้น ที่ผู้ประสบภัยหรือทายาทจะได้รับโดยเร็วหลังจากมีการพิสูจน์ความถูกผิดแล้ว สำหรับผู้ประสบภัยซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถคันที่เป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดต่ออุบัติเหตุนั้นจะได้รับค่าเสียหายเพียงค่าเสียหายเบื้องต้นเท่านั้น
3.รถที่ต้องทำประกันภัยตามกฎหมายนี้คือรถทุกคันทุกประเภท เช่น รถจักรยานยนต์ รถสามล้อเครื่อง รถยนต์ส่วนบุคคล และรับจ้าง รถเก๋ง รถปิคอัพ รถบรรทุก รถโดยสาร รถแทรกเตอร์ รถอีแต๋น รวมทั้ง รถพ่วง เป็นต้น โดยเจ้าของรถหรือผู้เช่าซื้อต้องจัดให้มีการประกันภัยตามที่กฎหมายกำหนด
4.กฎหมายนี้ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2536 เป็นต้นไป มีผลใช้
4.1 เจ้าของรถหรือผู้เช่าซื้อ ต้องจัดให้มีการประกันภัยภายใน 180 วันนับแต่วันที่ประกาศใช้บังคับ (คือตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2536)
4.2 ในการจดทะเบียนใหม่ (รถใหม่) ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายา 2536 เป็นต้นไป ต้องทำประกันภัยให้เรียบร้อยก่อนยื่นขอจดทะเบียน
4.3 ในการยื่นของจดทะเบียน หรือเสียภาษีรถประจำปี ให้นำเอกสารส่วนที่ต่อท้ายหน้าตารางกรมธรรม์ที่ได้รับจากบริษัทประกันภัยยื่นต่อนายทะเบียนขนส่งเพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่าได้จัดให้มีการประกันภัยตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว
5.ผู้ประสบภัยจากรถ หมายถึง ประชาชนทุกคนที่ประสบอุบัติเหตุจากรถ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่รถโดยสาร บุคคลในครอบครัว ลูกจ้างหรือบุคคลอยู่นอกรถ เช่น คนเดินภนน ข้ามถนนหรือแม้แต่คนที่กำลังนอนอยู่ในบ้าน หากได้รับความเสียหายจากรถที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายนี้
6.การทำประกันภัยตามกฎหมายนี้ เจ้าของรถหรือผู้เช่าซื้อรถต้องดำเนินการ ดังนี้
6.1 การทำรถจดทะเบียนใหม่ (รถใหม่) ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2536 เป็นต้นไป ต้องทำประกันภัยให้เรียบร้อยก่อนการยื่นทะเบียน
6.2 รถเก่าที่ต้องเสียภาษีประจำปี (ต่อทะเบียน) ต้องทำประกันภัยให้เรียบร้อยภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2536
การยื่นขอจดทะเบียนหรือเสียภาษีรถ ให้นำเอกสารส่วนที่ต่อท้ายหน้าตารางกรมธรรม์ที่ได้รับจากบริษัทประกันภัย ยื่นต่อนายทะเบียนขนส่งเพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่าได้จัดทำประกันภัยตามกฎหมายนี้เรียบร้อยแล้ว
7.เจ้าของรถ ผู้เช่าซื้อรถ หรือผู้ที่นำรถที่จดทะเบียนต่างประเทศเข้ามาใช้ในประเทศไทย สามารถทำประกันภัยตามกฎหมายนี้ได้ที่บริษัทประกันภัยรถยนต์หรือสาขาทั่วประเทศในอัตราค่าเบี้ยประกันที่เท่ากันสำหรับรถประเภทเดียวกัยและเมื่อทำประกันภัยเรียบร้อยแล้ว ท่านจะได้รับกรมธรรม์ประกันภัย ใบเสร็จรับเงินและเครื่องหมาย ซึ่งท่านจะต้องนำไปติดไว้ที่หน้ากระจกรถ หรือในที่ที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน (สำหรับกรณีที่ไม่ใช่รถยนต์)
8.บริษัทประกันภัยต้องจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัยหรือทายาท ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ผู้ประสบภัยหรือทายาทร้องขอต่อบริษัท โดยไม่ต้องรอการพิสูจน์ความถูกผิดของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
9.ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2536 เป็นต้นไป รถที่ทำประกันภัยตามกฎหมายนี้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่ารถใหม่หรือรถเก่า จะได้รับความคุ้มครองทันทีตามสัญญาประกันภัย (กรมธรรม์)
10.กฎหมายนี้ให้ความคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถเฉพาะความเสียหายที่เกิดแก่ชีวิต ร่างกาย และอนามัยเท่านั้น ไม่รวมถึงความเสียหายของทรัพย์สิน เจ้าของรถหรือผู้เช่าซื้อสามารถซ้อความคุ้มครองเพิ่มเติมได้โดยสมัครใจ บริษัทประกันภัยจะบังคับให้ผู้เอาประกันภัยต้องซื้อความคุ้มครองเพิ่มโดยผู้ซื้อไม่สมัครใจไม่ได้
11.เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากรถและมีผู้ได้รับบาดเจ็บควรรีบนำผู้ประสบภัยส่งโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลที่ใกล้และสะดวกที่สุด แล้วรีบแจ้งบริษัทประกันภัย (ดูชื่อบริษัทจากเครื่องหมายติดรถ) เพื่อขอรับค่าเสียหาย
การร้องขอรับค่าเสียหายเบื้องต้น หากผู้ประสบภัยไม่สามารถร้องขอได้ ให้โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่รักษาผู้ประสบภัย ญาติหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของผู้ประสบภัยหรือทายาทโดยธรรมของผู้ประสบภัย แล้วแต่กรณีร้องขอแทนได้ และต้องมีหลักฐานดังต่อปี้
- ความเสียหายต่อร่างกาย (กรณีบาดเจ็บ)
- ใบเสร็จรับเงินจากโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลหรือหลักฐานการแจ้งหนี้ที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือสำเนาหนังสือเดินทาง หรือหลักฐานอื่นที่ทางราชการ เป็นผู้ออกให้ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ที่มีชื่อในหลักฐานนั้น เป็นผู้ประสบภัยแล้วแต่กรณี
- ความเสียหายต่อชีวิต (กรณีเสียชีวิต)
- สำเนามรณบัตร
- สำเนาบันทึกประจำวันในคดีของตำรวจหรือหลักฐานอื่นที่แสดงว่าผู้นั้นถึงแก่ความตายเพราะการประสบภัยจากรถ
12.ในกรณีที่บริษัทประกันภัยไม่จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นหรือจ่ายให้ไม่ครบ ให้ผู้ประสบภัยหรือทายาทโดยธรรมของผู้ประสบภัยแล้วแต่กรณี ยื่นคำร้องขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นตามแบบฟอร์มของทางราชการ ต่อสำนักงานกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย
สำนักงานกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย ตั้งอยู่ที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) 22/79 ถนนรัชดาภิเษก แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร และสำนักงานคุ้มครองผู้เอาประกันภัยเขตทั้ง 4 เขต เขต 1 พระโขนง เขต 2 บางเขน เขต 3 ธนบุรี เขต 4 ตลิ่งชัน สำหรับในต่างจังหวัด สามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานประกันภัยจังหวัดทุกจังหวัด
13.ผู้ประสบภัยที่เป็นผู้ขับขี่และเป็นฝ่ายผิด หรือไม่มีผู้ใดรับผิดตามกฎหมาย จะได้รับการชดใช้เฉพาะค่าเสียหายเบื้องต้นเท่านั้น
14.ผู้ประสบภัยสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในส่วนที่เกินกว่าความคุ้มครองตามกฎหมายนี้ผู้จากกระทำละเมิดและผู้กระทำความผิดต้องได้รับโทษทางอาญาด้วย
15.ในกรณีที่รถตั้งแต่สองคันขึ้นไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ประสบภัยซึ่งอยู่ในรถ ให้บริษัทที่รับประกันภัยรถแต่ละคันนั้นจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยที่อยู่ในรถคันที่เอาประกันภัยกับบริษัท แต่ถ้าผู้ประสบภัยเป็นผู้ประสบภัยเป็นผู้ที่อยู่นอกรถ (อาจเดินอยู่บนถนน หรือในบ้าน ฯลฯ) ให้บริษัทที่รับประกันภัยรถที่ก่อเหตุแต่ละคันนั้น ร่วมกันจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น ให้แก่ผู้ประสบภัยทุกคนโดยเฉลี่ยจ่ายในอัตราส่วนที่เท่ากัน
16.ในกรณีที่บริษัท หรือเจ้าของรถ บอกเลิก กรมธรรม์ประกันภัยก่อนครบกำหนดความคุ้มครอง (ก่อนวันสิ้นสุดอายุสัญญา) ไม่ว่าด้วยเหตุใด บริษัท ต้องแจ้งการบอกเลิกนั้นให้นายทะเบียนทราบ และเจ้าของรถ ต้องส่งคืนเครื่องหมาย (สติกเกอร์) แสดงว่ามีการประกันภัยให้แก่นายทะเบียน (อธิบดีกรมการประกันภัยหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมาย) หรือทำให้เครื่องหมายนั้นใช้ต่อไม่ได้
17.บทกำหนดโทษ กฎหมายนี้ได้กำหนดโทษของการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายไว้หลายกรณีด้วยกัน อาทิ
17.1 เจ้าของรถหรือผู้เช่าซื้อ (รวมทั้งผู้นำรถจดทะเบียนต่างประเทศเข้ามาใช้ในประเทศไทย) ไม่จัดให้มีการประกันภัย มีโทษปรับตามกฎหมาย
17.2 ผู้ใดนำรภที่ไม่ได้จัดให้มีการประกันภัยไปใช้มีโทษปรับตามกฎหมาย
17.3 เจ้าของรถหรือผู้เช่าซื้อ ไม่ติดเครื่องหมาย ไม่ส่งคืนเครื่องหมาย ไม่ทำลายเครื่องหมาย หรือนำเครื่องหมายที่ต้องส่งคืนไปติดที่รถ จะมีความผิดและมีโทษปรับตามกฎหมาย
17.4 ผู้ประสบภัยผู้ใดยื่นขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นโดยทุจริตหรือเป็นหลักฐานอันเป็นเท็จ มีโทษทั้งปรับและจำ
17.5 บริษัทประกันภัยไม่จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับการร้องขอจากผู้ประสบภัยหรือทายาท มีโทษปรับตามกฎหมาย
- บริษัทประกันภัยใดที่ไม่รับประกันภัยตามกฎหมายนี้มีโทษปรับ
(แหล่งที่มา,กรมการประกันภัย กระทรวงพาณิชย์)
จำนวนผู้เข้าชม : 4345 ครั้ง